โรคกระดูกพรุนน่ากลัวจริงหรือ?
คุณหมอดิฉันไปตรวจกระดูกมาที่งาน....ผลการตรวจพบว่ากระดูกบาง ดิฉันจะพิการไหม?
คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมมักได้รับเมื่อออกตรวจที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก รวมทั้งเมื่อพบปะกับท่านผู้มีเกียรติ์ที่มาในงานวันโรคข้อ ของมูลนิธิโรคข้อฯ แต่เมื่อถามผู้ป่วยหรือท่านผู้มีเกียรติ์เหล่านั้นกลับไปว่าคุณมีอาการผิดปกติอย่างไรหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ และเมื่อถามต่อว่าความหนาแน่นของกระดูกที่ตรวจได้นั้นคืออะไร ผู้ป่วยและผู้มีเกียรติ์เกือบทั้งหมดไม่ทราบว่าการตรวจความหนาแน่นของกระดูกนั้นจำเป็นแค่ไหนและมีประโยชน์อย่างไร ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของความสำคัญในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจความหนาแน่นของกระดูก
กระดูกเป็นเนื้อเยื่อในร่างกายที่มีผลึกเกลือแคลเซี่ยมเกาะอยู่กับเส้นใยคอลลาเจนและโปรทีนหลายชนิดที่ทำให้กระดูกแข็งแรง กระดูกสามารถรับนำหนักร่างกาย เป็นแกนการเคลื่อนไหวของข้อต่างๆในร่างกาย และปกป้องอวัยวะสำคัญของร่างกาย ดังเช่นกะโหลกศรีษะปกป้องสมอง และกระดูกเชิงกรานปกป้องอวัยวะในท้องส่วนล่าง ความแข็งแรงของกระดูกขึ้นกับปริมาณผลึกเกลือแคลเซี่ยม ปริมาณและคุณภาพของเส้นใยคอลลาเจนและโปรทีนในกระดูก รวมทั้งลักษณะการเรียงตัวของหน่วยกระดูกในทิศทางต่างๆที่เหมาะสมกับแรงที่มากระทำต่อกระดูก ทั้งจากน้ำหนักของร่างกาย การเคลื่อนไหวและการหดตัวของกล้ามเนื้อ ในกระดูกมีการทำลายส่วนที่เสียหายจากการใช้งานและส่วนที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งานและมีการสร้างกระดูกใหม่ขึ้นทดแทนอยู่ตลอดเวลา หากปริมาณการสร้างสัมพันธ์กับการทำลาย กระดูกก็สามารถรักษารูปทรงและความแข็งแรงไว้ได้ แต่หากการสร้างมีขึ้นน้อยกว่าการทำลาย กระดูกก็จะอ่อนแอลง
ในทางปฏิบัติแพทย์ไม่สามารถวัดความแข็งแรงของกระดูกที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์ได้โดยตรง จึงต้องวัดโดยอ้อม ซึ่งขบวนการประเมินความแข็งแรงของกระดูกเริ่มจากการตรวจร่างกายและถ่ายภาพรังสีธรรมดาในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเฉพาะบริเวณนั้นๆ หรือผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจทำการตรวจเลือดและปัสสาวะของผู้ป่วยด้วยเพื่อประเมินอัตราการสร้างและการทำลายของกระดูก หากมีข้อมูลว่าผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนจึงทำการตรวจความหนาแน่นของกระดูกด้วยวิธีการวัดความสามารถในการดูดซับรังสีของกระดูกต่อหน่วยปริมาตรของกระดูก กระดูกที่มีผลึกเกลือแคลเซี่ยมมากและหนาแน่นสามารถดูดซับรังสีได้มากกว่ากระดูดที่มีผลึกเกลือแคลเซี่ยมน้อย การวัดความสามารถดูดซับรังสีนี้จึงเป็นเพียงวัดองค์ประกอบหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความแข็งแรงของกระดูดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการวัดคุณภาพหรือความแข็งแรงสุทธิของกระดูก ในผู้ที่รับการตรวจความหนาแน่นของกระดูกด้วยวิธีอื่นเช่น การวัดความหนาแน่นของกระดูกที่เท้าด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงไม่มีความสำคัญทางคลินิก ปัจจุบันแพทย์ไม่ใช้วิธีการนี้ประเมินความแข็งแรงของกระดูกแล้ว
ค่าความหนาแน่นของกระดูกที่ได้จากการวัดความสามารถในการดูดซับรังสีของกระดูกนำเสนอในค่าสัดส่วนเมื่อเทียบกับค่ากลางของคนปกติที่อยู่ในวัยต่างๆกัน โดยเทียบกับคนหนุ่มสาว ที่มีความหนาแน่นของกระดูกปกติ แปลผลออกมาเป็นค่าคะแนนที (T) ในผู้ที่ความหนาแน่นของกระดูกอยู่ในเกณฑ์ปกติ คะแนนทีอยู่ที่ 0 หากความหนาแน่นของกระดูกสูงกว่าเกณฑ์ปกติ คะแนนทีมีค่าเป็นบวก ในทางตรงข้ามหากความหนาแน่นของกระดูกน้อยกว่าเกณฑ์ปกติหรือเป็นโรคกระดูกพรุน คะแนนทีมีค่าเป็นลบ ตามข้อตกลงการวินิจฉับโรคกระดูกพรุนและจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านกระทำลายกระดูกในปัจจุบัน ถือค่าคะแนนทีที่ - 2.5 เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ หากการตรวจความหนาแน่นด้วยวิธีนี้พบว่าคะแนนทีต่ำกว่า – 2.5 จึงจะถือว่าผู้ป่วยมีกระดูกพรุนและกระดูกบางมาก มีโอกาสกระดูกหักได้ง่ายแม้การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรง ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้สมควรได้รับการรักษาด้วยยาที่ลดการทำลายกระดูกหรือยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูกเพื่อป้องกันกระดูกหัก ซึ่งต้องให้การรักษาร่วมกับการรักษาโรคกระดูกพรุนทั่วไปอันได้แก่การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การดื่มนมและการได้รับแคลเวี่ยมเพิ่มอย่างเหมาะสม การออกกำลังกาย การใช้เครื่องช่วยการเดินและเครื่องรัดดัดและพยุงต่างๆ การปรับการใช้ชีวิตประจำวันและสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสม โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญเพื่อป้องกันกระดูกหัก การวัดความหนาแน่นของกระดูกโดยดูจากความสามารถในการดูดซับรังสีนี้ควรทำต่อเมื่อมีอายุสูงวัย โดยมีอายุสูงกว่า 65 ปี ยกเว้นเป็นผู้ที่มีอาการ อาการแสดงและการตรวจอย่างอื่นส่อว่าผู้ป่วยน่าจะมีกระดูกพรุน และผู้ป่วยเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อกระดูกหักพรุนและกระดูกหัก เช่น ผู้ป่วยหญิงที่ต้องได้รับการผ่าตัดนำมดลูกและรังไข่ออกตั้งแต่อายุน้อยกว่า 40 ปี ผู้ที่มีประวัติมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักง่าย ผู้ป่วยที่มีการมองเห็นไม่ดี มีโอกาสหกล้มบ่อยและผู้ป่วยเรื้อรัง เป็นต้น จึงสมควรได้รับการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกเมื่อมีอายุน้อยกว่า 65 ปี
มีท่านผู้มีเกียรติ์บางท่านถามว่าหากสงสัยกระดูกพรุนก็รับประทานยาต้านการทำลายกระดูกไปเลยดีไหม คำตอบคือไม่ดี ด้วยยาต้านการทำลายกระดูกเป็นยาที่มีราคาสูงและมีฤทธิ์แทรกซ้อนสูงด้วย ผู้ป่วยที่ได้รับยานี้อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและปวดท้อง ยาในกลุ่มฮอร์โมนเพศก็อาจก่อนให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอดและโรคหลอดเลือดอุดตัน รวมทั้งหากได้รับฮอร์โมนติดต่อเป็นเวลานาน ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ยาต้านการทำลายกระดูกที่มีฤทธิ์แรงอาจรบกวนการปรับตัวของกระดูกตามธรรมชาติ กระดูกอาจแข็งแต่เปราะ กระดูกกลับหักง่ายกว่าที่ควร ดังนั้นการใช้ยาต้านการทำลายกระดูกจึงต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
โดยสรุปการวัดความหนาแน่นของกระดูกนี้เป็นเพียงการวัดองค์ประกอบหนึ่งที่ให้ความแข็งแรงต่อกระดูกเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีค่าคะแนนทีของความหนาแน่นของกระดูกต่ำแล้วจะมีกระดูกอ่อนแอหักง่ายเสมอไป ต้องอาศัยปัจจัยอื่นจากการตรวจและพิจารณาของแพทย์ร่วมด้วย เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัย ดังนั้นการที่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในวัยกลางคนไปรับการตรวจพบว่าความหนาแน่นของกระดูกของท่านลดลงหรือกระดูกของท่านบางลงจากวิธีอื่น โดยท่านไม่มีอาการผิดปกติจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องวิตกมากเกินไป หากมีความสงสัยควรปรึกษาแพทย์
มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนและอาการที่เกิดจากโรคกระดูกพรุนกันดีกว่า
โรคกระดูกพรุนหมายถึงการที่กระดูกของผู้ป่วยมีความหนาแน่นน้อยลงจนทำให้กระดูกเกิดการหักได้ง่าย การวินิจฉัยโรคใช้ข้อมูลจากประวัติ การตรวจร่างกายโดยละเอียด การตรวจเลือดและภาพถ่ายรังสีเพื่อการวินิจฉัยและการวินิฉัยแยกโรค โดยเฉพาะการวินิจฉัยแยกโรคขาดวิตามินดี โรคขาดแคลเซี่ยม โรคมะเร็ง โรคของต่อมพาราไทรอยด์ และโรคที่เกิดร่วมอื่นๆ การตรวจร่างกายและการตรวจผลเลือดทั่วไปไม่พบความผิดปกติ ภาพถ่ายรังสีพบกระดูกบางลงกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณปลายการดูกแขนขา กระดูกข้อตะโพกและกระดูกสันหลัง กระดูกที่บางลงเกิดทั่วๆไป ไม่พบการทำลายกระดูก บริเวณกระดูกหักมีความทึบรังสีเพิ่มขึ้นจากการซ้อนตัวของกระดูก การตรวจความหนาแน่นของกระดูกดังที่ได้เรียบเรียงไว้ดังข้างต้นนั้นมักพบว่าต่ำกว่าปกติ โดยพิจารณาจากค่า t score หากต่ำกว่าปกติแต่ยังสูงกว่า -2.5 ให้การวินิจฉัยเป็นโรคกระดูกบางแต่ถ้าค่าความหนาแน่นของกระดูกต่ำกว่า -2.5 ให้การวินิจฉัยเป็นโรคกระดูกพรุน การตรวจเลือดเพื่อสังเกตพัฒนาการและการทำงานของเซลกระดูกที่ช่วยการวินิจฉัยและตรวจการเปลี่ยนแปลงมีให้การรักษาได้แก่ การตรวจระดับ พาราไทรอยด์ฮอร์โมน การตรวจปริมาณ การสลายตัวของกระดูกหรือกระดูกถูกทำลายและการตรวจการสร้าง
โรคกระดูกพรุนนี้มักพบในผู้ป่วยหญิงวัยหลังหมดประจำเดือน รองลงมาเป็นผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ในผู้ป่วยชายพบในผู้ที่ดื่มสุรามากเป็นประจำ การดำเนินโรคของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักเกิดมีกระดูกหัก ตามมาด้วยอาการปวด ความผิดรูปและอาการปวดเรื้อรัง แนวทางการดูแลรักษาควรจำแนกผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก โดยใช้ผลการศึกษาของ OSTA (Osteoporosis Self-Assessment Tool for Asians) คำนวณจากสูตร 0.2 x (น้ำหนักตัว กก. – อายุ ปี) ได้เป็นดัชนีที่แสดงความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน หากได้ค่าน้อยกว่า - 4 ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง หากอยู่ระหว่าง - 4 ถึง - 1 ผู้ป่วยมีความเสี่ยงปานกลาง หากได้ค่าสูงกว่า – 1 ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่ำ
กระดูกพรุนแล้วเกิดอะไรขึ้น?
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนในระยะแรกไม่มีความปวดถึงแม้กระดูกบางลงมาก แต่เมื่อผู้ป่วยเหล่านี้เกิดมีกระดูกหักขึ้น พบว่าผู้ป่วยมักมีอาการปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสันหลังหักหรือทรุดตัว ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหลังมากและมีอาการปวดเรื้อรังที่ไม่สามารถอธิบายด้วยลักษณะของการบาดเจ็บได้ทั้งหมด ผู้ป่วยบางกลุ่มมีอาการชา อาการอ่อนแรงและมีความรู้สึกสัมผัสที่ผิดไปจากปกติ ตามมาด้วยอาการปวดเรื้อรังและโรคซึมเศร้า ความผิดปกติในด้านอาการปวดเรื้อรังในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนและมีกระดูกหักนี้ จึงเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ นำมาซึ่งการศึกษาหาสาเหตุเพื่อนำไปสู่การรักษาที่ดีขึ้น
สาเหตุความปวดในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนและมีกระดูกหักเกิดจาก
1) ความปวดจากการบาดเจ็บกระดูกหัก กระดูกหักทำให้เนื้อเยื่อต่างๆโดยรอบกระดูกบาดเจ็บ เกิดการตายของปลายกระดูก เยื่อหุ้มกระดูกและมักพบการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อโดยรอบกระดูก สิ่งเหล่านี้กระตุ้นปลายประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึก แล้วนำสัญญาณการกระดุ้นสู่ไขสันหลังขึ้นไปจนถึงสมอง และทำให้เกิดความปวด
2) ความปวดจากการอักเสบ กระดูกหักทำให้เกิดมีก้อนเลือดสะสมบริเวณกระดูกที่หัก ก้อนเลือดกระตุ้นเนื้อเยื่อโดยรอบทำให้เกิดการอักเสบ และในรายที่กระดูกหักผ่านข้อก็ทำให้ข้อข้างเคียงเกิดการอักเสบ ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถให้การรักษาโดยการดึงกระดูกให้เข้าที่ได้อาจทำให้ข้อเสื่อมเร็วกว่าที่ควร มีผลทำให้เกิดความปวดเรื้อรัง
3) ความปวดจากเส้นประสาทถูกรบกวน หรือบาดเจ็บ กระดูกที่หัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสันหลังที่หักอาจกดหรือรบกวนไขสันหลัง เส้นประสาท หรือรากประสาท ในระยะแรกเป็นการปวดจากการบาดเจ็บของเส้นประสาท หากการกดหรือรบกวนเส้นประสาทไม่สามารถได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่กลุ่มอาการหรือโรคปวดเรื้อรังจากระบบประสาท ผู้ป่วยมีอาการปวดร่วมกับการทำงานที่ผิดปกติของระบบประสาท ดังเช่น ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนและมีกระดูกหักที่ส่วนปลายของกระดูกข้อมือ ที่มักเกิดกลุ่มอาการปวดมืเรื้อรังและข้อนิ้วติด และผู้ป่วยที่กระดูกสันหลังหักจากโรคกระดูกพรุนอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หน้าอก หน้าท้องและขา ร่วมกับมีความผิดปกติในการรับความรู้สึกต่างๆตามที่พบในโรคปวดเรื้อรังจากระบบประสาท
ในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนพบความผิดปกติในการประสานการทำงานระหว่างเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกระดูกกับเซลกระดูก
ในสภาวะปกติ ระบบประสาทควบคุมการทำงานของเซลต่างๆของกระดูก ในทางตรงข้ามเซลต่างๆของกระดูกป้อนข้อมูลให้ระบบประสาทผ่านทางเส้นประสาทที่เข้าไปเลี้ยงในกระดูก รูปร่างของเซลกระดูกเหมือนเซลประสาทและทำงานรับคำสั่งจากระบบประสาทผ่านเส้นประสาทที่มาสัมผัสโดยตรงกับเซลกระดูก ต่อจากนั้นเซลกระดูก osteocyte สั่งงานไปยังเซลทำลายกระดูก ให้ทำลายกระดูกที่บาดเจ็บเสียหายหรือไม่จำเป็นออก แล้วสั่งงานให้เซลสร้างกระดูกสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ มีหลักฐานเชื่อว่าเซลกระดูกเป็นเซลที่รับข้อมูลต่างๆจากกระดูกและสารละลายโดยรอบ แล้วส่งผ่านให้เส้นประสาทอีกที่หนึ่ง โดยทำให้เกิดความสมดุลขึ้น
ในผู้สูงอายุเซลกระดูกชราภาพลง เซลประสาทเพิ่มการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานที่มากเกินไปและผนังเซลประสาทมีความไวมากขึ้น เมื่อเกิดการบาดเจ็บจากกระดูกหัก ก็อาจเกิดการตอบสนองของเซลประสาทอย่างรุนแรงผิดปกติ เป็นที่มาของโรคปวดเรื้อรังจากระบบประสาท
4) ความปวดจากกล้ามเนื้อที่เกิดจากการผิดรูปของกระดูกที่หัก ทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นโดยรอบต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้ร่างกายมีสมดุลที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้การที่กล้ามเนื้อและเอ็นต้องทำงานมากอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดและอาจทำให้กล้ามเนื้อ
เกิดการเสื่อมเกิดขึ้นเร็ว
การรักษาโรคกระดูกพรุนทำได้อย่างไรบ้าง?
การดูและรักษาผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมีเป้าประสงค์ที่ป้องกันไม่ให้กระดูกหัก แนวทางการรักษาที่สำคัญได้แก่
1) การให้ความรู้เรื่องโรคกระดูกพรุนและหลักการรักษาที่ถูกต้อง
2) การแนะนำการปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงที่ทำให้กระดูกหัก ทั้งในส่วนตัวและสภาพแวดล้อมที่บ้านและที่ทำงาน
3) การบริหารร่างกายอย่างถูกต้องเพื่อคงความแข็งแรงของกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงสามารถประคับประคองระบบกระดูกได้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นการฝึกการทำงานร่วมของระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท เพื่อช่วยป้องกันการหกล้มหรือถ้าหกล้มผู้ป่วยก็อาจมี reflex ที่ดีขึ้นช่วยป้องกันการหกล้มที่รุนแรงและป้องกันกระดูกหัก
4) การใช้เครื่องช่วยการเดินและเครื่องรัด ดัดและพยุงร่างกายและบริเวณข้องของผู้ป่วย เพื่อเพิ่มความมั่นคง
5) การรับประทานอาการที่มีคุณค่าทางอาหารสูงอย่างสมส่วน แนะนำอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงและควรให้แคลเซี่ยมในขนาดที่ให้เกิดการดูดซึมเป็นแคลเซี่ยมประมาณ 1000 มก.ต่อวันโดยรับประทานพร้อมอาหาร และให้วิตามิน โดยเฉพาะวิตามินดีเสริมขนาด 400 – 1200 หน่วยต่อวัน
6) การรักษาทางยา การใช้ยาขึ้นกับลักษณะอาการปวดและพยาธิวิทยาของการปวด ยาที่ให้แบ่งออกเป็น 3กลุ่ม คือ
6.1) ยาบรรเทาอาการปวดทั่วไป นิยมใช้ยาพาราเซตตามอล และยาต้านการอักเสบ โดยแพทย์พิจารณาเลือกยาตามความเหมาะสมแก่ผู้ป่วยในแต่ละราย ด้วยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอายุสูง มีโรคแทรก ซ้อนอื่นๆหลายโรค มีโอกาสเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ง่ายเมื่อ ใช้ยาต้านการอักเสบ นอกจากนี้ผู้ป่วยมักต้องรับประทานยาหลายอย่างอยู่แล้ว
6.2) ยาลดการทำลายกระดูกได้แก่
6.2.1) แคลซิโตนิน (Calcitonin)
6.2.2) บิสฟอสโฟเนตร์ส (Bisphosphonates)
6.2.3) เอสโตรเจน (Estrogen)
6.2.4) ราลอกซิเฟน (Raloxifene)
6.2.5) พาราไทรอยด์ฮอร์โมน (Parathyroid hormone)
6.2.6) วิตามิน เคสอง
6.2.7) วิตามินเค 2
6.3) ยาบรรเทาอาการปวดเรื้อรังจากระบบประสาท
ยาแต่ละขนานมีข้อบ่งชี้ที่ต่างกันไป ซึ่งขึ้นกับลักษณะการดำเนินของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีหลักการยับยั้งการทำลายกระดูก และส่งเสริมให้ร่างกายสร้างกระดูให้ดีขึ้น เพื่อให้ได้กระดูกที่แข็งแรง เนื้อกระดูหนาแนเนขึ้น โดนแพทย์ที่ดูแลพิจารณาจากการตรวจร่างกาย การตรวจเลือดและการตรวจความหนาแน่นของกระดูก
7) การรักษาโดยการผ่าตัด การผ่าตัดมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการปวด และกลับไปมีชีวิตดังเดิมให้ได้เร็วที่สุด ในผู้ป่วยที่กระดูกแขนท่อนล่างส่วนปลายหัก นิยมดึงกระดูกให้เข้าที่และดามด้วยเฝือก แล้วให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยเร็ว ในผู้ป่วยที่กระดูกบริเวณข้อตะโพกหัก นิยมให้การรักษาโดยการผ่าตัดดึงกระดูกให้เข้าที่และดามด้วยโลหะ โดยเลือกใช้โลหะดามกระดูกที่เหมาะสม สามารถยึดตรึงกระดูกที่บางได้ดี ในผู้ป่วยที่คอกระดูกต้นขาหัก แนะนำผ่าตัดเปลี่ยนเป็นข้อเทียม เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและผู้ป่วยสามารถกลับลุกนั่ง ยืนและเดินได้โดยเร็ว ในผู้ป่วยที่กระดูกสันหลังหักและทรุดตัว ถ้ามีการเลื่อนตัวหรือทรุดตัวไม่มากสามารถให้การรักษาโดยอนุรักษ์นิยมได้ โดยการพักในระยะแรก ให้ยาบรรเทาอาการปวด ให้การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู ร่วมกับการใช้เครื่องรัด ดัดและพยุงกระดูกสันหลัง แต่หากกระดูกทรุดตัวมาก หรือกระดูกที่หักไม่หากเองได้นิยมฉีดสารทดแทนกระดูกหรือซีเมนต์กระดูกเข้าที่บริเวณกระดูกหักเพื่อเชื่อมกระดูกสันหลังให้มีความสั่นคง ผู้ป่วยสามารถลุกขึ้นได้เร็ว หากกระดูกที่หักรบกวนไขสันหลังและ หรือเส้นประสาทอาจให้การผ่าตัดจัดกระดูกให้เข้าที่และดามด้วยโลหะร่วมกับการปลูกกระดูกในบริเวณที่หัก แล้วให้การรักษาทางยาและเวชศาสตร์ฟื้นฟูต่อไป
การป้องกันโรคกระดูกพรุนทำได้อย่างไรบ้าง?
การป้องกันโรคกระดูกพรุนย่อมต้องดีกว่าการรักษา คนเราควรได้รับแคลเซี่ยมในปริมาณที่เพียงพอตั้งแต่วัยเด็กและหนุ่มสาว ควรหลีกเลี่ยงอาหารและสารที่ทำให้เกิดการทำลายกระดูกหรือทำให้ร่างกายขับแคลเซี่ยมออกจากร่างกายมาก เช่น การดื่มน้ำอัดลม การดื่มการแฟวันละหลายแก้ว และการดื่มสุราเป็นประจำ ควรออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยและรูปร่าง การได้รับแสงแดดที่เหมาะสม การรักษาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงปกติ หากมีปัญหาควรรีบปรึกษาแพทย์
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ สารเนตร์ ไวคกุล วทบ, พบ, วุฒิบัตรฯ ศัลยศาสาตร์ออรโธปิดิกส์
อดีตประธานราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย
อดีตนายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
แสบตา เคืองตา น้ำตาไหล... รู้สึกไม่สบายตา โดยเฉพาะเมื่อเจอลมแรงๆ หรือแสงแดดจ้า ตาแดงก่ำ คันยุบยิบ น้ำตาไหลตลอดเวลา บางครั้งมีขี้ตาเยอะผิดปกต...
"ต้อหิน" ภัยเงียบที่ค่อยๆ ทำลายเส้นประสาทตา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ท...